วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

หน่วยที่ 5 โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบ NETWORK และ INTERNET


   หน่วยที่ 5 โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์    

ระบบ NETWORK และ INTERNET  

โครงสร้างของเครือข่าย

การทำงานของระบบ Network และ Internetคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายเฉพาะที่ ( Local Area Network : LAN ) เป็นเครือข่ายที่มักพบในองค์กรโดนส่วนใหญ่ ลักษณะการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน เช่น อยู่ภายในอาคาร หรือ หน่วยงานเดียวกัน
2. เครือข่ายการเมือง ( Metropolitan Area Network : MAN ) เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อยมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ภายในบรเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่นในเมืองเดียวกันเป็นต้น
3. เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network : WAN ) เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับโดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียวกัน ดังนั้นเครือข่ายนี้ จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง โดยมีการครอบคลุมไปทั่วประเทศ หรือทั่วโลก เช่น อินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นเครื่อข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย Network Topology การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์ และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้มูลในเครือข่ายด้วย โดย แบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ
1. แบบดาว ( Star Network ) เป็นการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อรวมกันเป็นหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดดต่อผ่สนทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกัยศูนย์กลาง
ลักษณะการทำงาน เป็นการเชื่อมโยงสื่อสารคล้ายดาวหลายแฉก โดยมีสถานีกลาง หรือฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อ กันทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด และยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารจัดเป็น 2 ทิศทางโดยจะอณุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม้มีโอกาศที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข่าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัณญาณข้อมูล เครือข่ายแบบบดาว เป็นรูปแบบเครือข่ายหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบั
2.  แบบวงแหวน ( Ring Network ) เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายสัญญารของตัวเองโดยจะมีการเชื่อมโยง ของสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครือข่านสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่มนการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง หรือจากเครือข่ายสัญญาณตัวก่อนหน้า และส่งข้อมูลต่อไปยังเครือข่ายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อยๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด
3.เครือข่ายแบบบัส ( Bus Network ) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่ยๆๆ โดยจะมีอุปกรณืที่เป็นตัวเชื่อมต่ออุปกรณืเข้ากับสายเคเบิล ในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้ จะต้องกำหนดวิธี ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกันลา หรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่ สัญญาณที่แตกต่างกัน ในการติดตั้งเครือข่ายแบบบัสนี้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด ถ฿กเชื่อมต่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียว
อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียก ว่า บัศ BUS เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนดหนึ่ง ภายในเครือข่าย จะต้องตรวจสอบว่าบัสง่างหรืไม่ ข้อมูลจะวิ่งผ่านโหนดไปเรื่อยๆๆ ในขณะที่แต่ละโหนดก็จะตรวจสอบว่าเป็นว่าเป็นของตนเองหรืไม่หากไม่ใช่ก็จะปล่อยให้วิ่งไปเรื่อยๆๆ
4.เครือข่ายแบบต้นไม้ ( Tree Network ) เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่นๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม รับส่งข้อมูลเดียวกัน
การประยุกต์ใช้งานของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร และการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครือข่าย รูปแบบการใช้งาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. ระบบเครือข่ายแบบศูนย์กลาง ( Centrallised Network )
2.ระบบเครือข่ายแบบ ( Pee-to Pee)
3. ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
. ระบบเครือข่ายแบบศูนย์กลาง ( Centrallised Network ) เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลาง และมีการรรเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ ใช้การเดินสายเคเบิ้ล เชื่อมต่อกันโดยตรง เพื่อให้เครื่องเทอร์มินนอลสมารถสเข้าใช้งานโดยคำสั่งต่าง มาประมวลผลที่เครื่องกลาง ซึ่งมักเป็นเครืองคอมพิวเตอร์เมนเฟรมประสิทธิภาพสูง
ระบบเครือข่ายแบบ ( Pee-to Pee ) แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่ายสถานีเจะเท่าเทียมกัน สามรถที่จะแบ่งบันทรัพยากรให้แก้กันและกันได้ เช้นการใช้เครื่องพิมพ์ หรือ แฟ้มข้อมูลร้วมกันในเครือข่ายนั้นๆ เครื่องแต่ละเคื่องมีขีด และความสารถได้ด้วยตนเอง คือจะมีทรัพยากรภายในตัเอง เช่น ดิสก์สำหลับเก็บข้อมูล หน่วยความจำที่เพียงพอ 
 ระบบเครือข่ายแบบ ( Client/Server ) สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก และสามรถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายสถานี ทำง่นโดยมีเครื่อง Server ที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง และมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ จากส่วนกลาง ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ เครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบ Client/Server ราคาไม่แพงมากนัก ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สมถนะสูงในการควบคุมการให้บริการ ทรัพยากรต่างๆ นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามรถในการประมงลผล และมีพื้นที่สำหลับเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตัวเอง
           ระบบเครื่อข่ายแบบClient/Server เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น สนับสนุนการทำงานแบบ Multiprocessor สามารถเพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนเครื่องได้ตามต้องการ

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คอมพิวเตอร์เเละระบบคอมพิวเตอร์
ความหมาย
คอมพิเตอร์ หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง หรือโปรเเกรมต่างๆสามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายเเบบ ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือ มีศักยภาพสูงในการประมวล ข้อมูลทั้งตัวเลข รูปภาพ ตัวอักษรเเละเสียง
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
ฮาร์ดเเวร์
คือ ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่อง com เเบ่งเป็น 5 ส่วน
1) หน่วยรับข้อมูลเข้า(Input Unit) เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าระบบเพื่อกำหนดให้คอมทำงานตามความต้องการได้เเก่
-เเป้นพิมพ์(Keybord)
-เเผ่นซีดี(CD-Rom)
-ไมโครโฟน(Microphone)เป็นต้น
2)หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) CPU
ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะเเละคณิตศาสตร์ รวมทั้งการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ
เชิงตรรกะ=เหตุผล/คณิตศาสตร์=ตัวเลข
3)หน่วยความจำ (Memmory Unit)
ทำหน้าที่ เก็บข้อมูล/คำสั่งที่มาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลางเเละเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลเเล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยเเสดงผล
4)หน่วยเเสดงผล(Output Unit)
ทำหน้าที่ เเสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่ประมวลผลหรือผ่านการคำนวณเเล้ว
5)อุปการณ์ต่อพ่วงอื่นๆ(Peripheral Equiment)
เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอม เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น
-โมเด็ม(modem)-แผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่าย เป็นต้น
ประโยชน์ของ คอมพิเตอร์
1)มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วเพียงชั่ววินาที จึงใช้ในงานคำนวณต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
2)มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ทำได้ตลอด24ชั่วโมงเเทนกำลังคนได้มาก
3)เก้บข้อมูลได้มาก ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร เช่นเก็บในเเผ่นCD/เเฟรชไดรฟ์
5)สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบได้รวดเร้วช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน
ระบบคอมพิวเตอร์
คือกรรมวิธีที่คอมทำการใดๆกับข้อมุลให้อยู่ในรูปเเบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานมากที่สุดเช่นระบบเสียภาษี ระบบลงทะเบียนราษฎ์ ระบบทะเบียนการค้า ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล เป็นต้น
  การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ คอมเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่ถูกต้อง
องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิเตอร์ที่คอมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพประกอบด้วย4ส่วนดังนี้
1)ฮาร์ดเเวร์(Hardware)หรือส่วนเครื่อง
2)ซอฟต์เเวร์(Software)หือส่วนของชุดคำสั่ง
3)ข้อมูล
4)บุคคลากร

1)ฮาร์ดเเวร์ คือตัวเครื่อง/อุปกรณ์มี4 ประเภทดังนี้
(1.1) ส่วนประมวลผล(Processer)
(1.2)ส่วนความจำ(Memmory)
(1.3)อุปกรณ์รับเข้าเเละส่งออก(Input-Output Devices)
(1.4)หน่วยเก็บข้อมูล(Storage Devices) แผ่นดิสก์ต่างๆ

(1.1) CPU เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดเเวร์ที่เปรียบเสมือนสมองมีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมประมวลผลเเละเปรียบเทียบข้อมูลดดยทำการเปลี่ยนเเปลงข้อมุลเดิมให้เป็นสารสนเทศที่คอมนำไปใช้ประโยชน์ได้ความเร้วของCPU เรียกว่าสัญญาณ นาฬิกา เป็น V 1ล้านรอบใน1S เทียบเท่าVสัญญาณนาฬิกา 1 GHz
1.2)ส่วนความจำ เเบ่งออก 3ประเภท
-หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
-หน่วยความจำสำรอง(Secondary Storage)
-หน่วยเก็บความจำ

หน่วยความจำหลัก เเบ่งออก 3 ประเภทได้เเก่ เเรม RAM/รอม ROM
1.1) เเรม(Ram =Random Acess Memory)เป็น หน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระเเสไฟฟ้ารับส่งข้อมูล
ข้อมูล/แฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ซึ่งคราวขณะทำงานข้อมุลจะอยู่ได้นานกว่าคราวจะปิดเครื่อง เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบบลบเลือนได้ (Volatite Memmory)
1.2)รอม(Rom=Read Only Memmoly)เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรเเกรม/ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมข้อมูลที่ถาวรไม่ขึันอยู่กับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร คอมให้CPU อ่านข้อมุล / โปรเเกรมไปใช้งานอย่างเดียวไม่คอมเรียกข้อมูลไปเก็บไว้ได้โดยง่ายส่วนใหญ่ใช้กับโปรเเกรมควบคุม เราเียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่าหน่วยความจำเเบบไม่ลบเลือน(Nonvolatile Memmory)

หน่วยความจำสำรอง
หน่วยความจำชนิดนี้มีไว้สำหรับสำรองหรือทำงานกับข้อมุลและโปรเเกรมขนาดใหญ่ เนื่องจากขนาดของหน่วยความจำหลักมีจำกัด หน่วยความจำสำรองคอมเก็บไว้ได้หลายเเบบ เช่นแผ่นบันทึก จานบันทึกเเบบเเข็ง แผ่นซีดีรอม
หน่วยความจำสำรอง(Secondary Memory Unit)
หน่วยความจำสำรองหรือหน่วยเก็บข
้อมูลเป็นหน่วยเก็บที่สมารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วหน่วยความจำสำรองมีหน้าที่หลักคือ
1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข
้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต
2.ใช้ในการเก็บโปรแกรมไว้อย่างถ
าวร
3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมู
ลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง
ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง
ช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเน
ื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลเมื่อเรียบร้อยแล้วผลลัพธ์นี้ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรมหากปิดเครื่องหรือมีปัญหาเรื่องไฟฟ้าอาจทำให้ข้อมูลสูญหายได้
ส่วนแสดงผลข้อมูล
ส่วนที่แสดงผลข้อมูล คือส่วนที่แสดงผลข้อมูลจากสัญญา
ณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลได้แก่ จอภาพ(Monitor)เครื่องพิมพ์(Printer) เครื่องพิมพ์ภาพ (Ploter) ลำโพง (Speaker) เป็นต้น
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์(PEOPLE WARE)
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใ
ช้หรือควบคุมการใช้คอมพิวเตอร์อย่างราบรื่น
ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์
1.ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงา

2.ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3.ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริก
าร
บุคคลในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1.หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP Manager)
2.หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผ
นระบบงาน (System Analyst หรือ SA)
3.โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
4.ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer operator)
5.พนักงานจัดเตรียมข้อมูล (Data Entry Operator)
-นักวิเคราะห์ระบบงาน คือ ผู้ทำการศึกษาระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่
-โปรแกรมเมอร์ คือ ผู้นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห
์ระบบออกแบบไว้มาสร้างเป็นโปรแกรม
-พนักงานปฏิบัติการ คือ ผู้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏ
ิบัติหน้าที่หรือภารกิจประจำวันที่ เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์
อาจแบ่งประเภทของบุคลากรทางคอมพ
ิวเตอร์
1.ผู้จัดการระบบ (System Manager) คือผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอ
ร์ให้เป็นไปตาม เป้าหมาย
2.นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) คือผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรือง
านใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสมความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน
3.โปรแกรมเมอร์ (Programmer) คือผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่
องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงาน ตามความต้องการของผู้ใช้
4. ผู้ใช้ (User) คือผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไปซ
ึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งาน โปรแกรมเพื่อใช้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามความต้องการ
ซอฟแวร์
ซอฟแวร์ คือการลำดับขั้นตอนการทำงานของค
ำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไรเป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมมารวมกันให้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนตามต้องการ
หน้าที่ของซอฟแวร์
ซอฟแวร์ ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผ
ู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ถ้าไม่มีซอฟแวร์ เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟแวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท
ประเภทของซอฟแวร์
ซอฟแวร์แบ่งเป็น 3ประเภทใหญ่ๆคือ
1.ซอฟแวร์ระบบ (System Software) เป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้
างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับ ระบบหน้าที่การทำงานของซอฟแวร์ระบบคือ ดำเนินการพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปรความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไป แสดงผลบนจอหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์ ซอฟแวร์ระบบหรือโปรแกรมระบบทีรู้จักกันดีคือ DOS Windows Unix Linux รวมทั้ง โปรแกรมการแปลคำสั่ง เช่น ภาษา Basic Fortran Pascal Cobol เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบเช่นกัน
หน้าที่ของซอฟแวร์
1.ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าแล
ะหน่วยส่งออกเช่น รับรู้การกดแป้นต่างๆบนแผงแป้นอักขระส่งรหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์
2.ใช้ในการจัดการหน่วยความจำเพื
่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุลงบนหน่วยความจำหลักหรือในทำนองกลับกันคือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก
3.ใช้เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช
้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายขึ้นเช่นการขอดูรายงานในระบบ (Directory) ในแผ่นบันทึก การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล ซอฟแวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไปแบ่งออกเป็นระบบปฏิบัตรการและตัวแปลภาษา
ประเภทซอฟแวร์ระบบแบ่งออกเป็น 2ประเภทคือ
1.ระบบปฏิบัติการ
2.ตัวแปลภาษา
-ระบบปฏิบัติการ หรือเรียกย่อๆว่าOS เป็นซอฟแวร์ใช้ในการดูระบบคอมพิ
วเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีซอฟแวร์ระบบจะต้องมีระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีคือ ดอส วินโดวส์ ยูนิกส์ ลีนุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น
-ดอส เป็นซอฟแวร์จัดระบบงานที่พัฒนาม
านานแล้วการใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร -วินโดว์ เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอสโดยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้จากเมาส์มาขึ้นแทนการใช้แป้นอักขระ
-ยูนิกส์ เป็นระบบปฏิบัติการมาตั้งแต่ใช้
กับเครื่อง มินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกส์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด
-ลีนุกซ์ เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจา
กระบบยูนิกส์มีระบบที่มีการแจกจ่ายโปรแกรมต้นฉบับให้นักพัมนาช่วยกันพัฒนา ระบบลีนุกซ์สามารถทำงานได้บน ซีพียู หลายตระกูล เช่น อินเทล ดิจิตอลและ ซันสปาร์ค
-แมคอินทอช เป้นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่อ
งไมโครคอมพิวเตอร์ ส่วนมากใช้ในงานกราฟิก ออกแบบและจัดตำแหน่งเอกสารนิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ
ชนิดของระบบปฏิบัติการสามารถจำแ
นกออกได้ 3 ชนิดคือ
1.ประเภทใช้งานเดี่ยว (Sing-tasking) จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้
ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้นใช้ในเครื่องขนาดเล็ก
2.ประเภทใช้หลายงาน (Multi- tasking) สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหล
ายงานในขณะเดียวกันได้ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟแวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน เช่นระบบปฏิบัติการ Windows 9 8 ขึ้นไป และ UNIX เป็นต้น
3.ประเภทใช้งานหลายคน (Multi-user) ในหน่วยงานบางแห่งใช้คอมพิวเตอร
์ขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่ประมวลผลท
ำให้มีขณะใดขณะหนึ่งมีการใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายเครื่องจึงจำเป็นต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง เช่นระบบปฏิบัติการ Windows NT และ UNIX เป็นต้น

2.ตัวแปรภาษา
การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ ภาษาBasic Pascal, และภาษาโลโก้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมากมายได้แก่ Fortran, Cobol, และภาษาอาร์พีจี
ซอฟแวร์ประยุกต์ (Application Software)
ซอฟแวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนองาน การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพหรือการออกแบบเว็บไซด์เป็นต้น
ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้เป็น2 ประเภทคือ
 1.ซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ (Proprietary Software)
2.ซอฟแวร์ที่หาได้ทั่วไป (Packaged Software) มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ (Customized Package) และโปรแกรมมาตรฐาน (Standard Package)
ประเภทของซอฟแวร์ประยุกต์
แบ่งตามลักษณะการใช้งาน จำแนกได้เป็น3 ประเภทคือ
1.กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ (Business)
2.กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย (Graphic multimedia)
3.การใช้งานแบบเว็บและการติดต่อสื่อสาร (Web and communications)
กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ (Business)
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกนำมาใช้โดยมุ่งหวังให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจัดพิมพ์รายงาน เอกสาร ดังเช่น โปรแกรมประมวลคำ อาทิ Microsoft Word , Sun Staroffice Writer , โปรแกรมตำราคำนวณ อาทิ Microsoft Excel, Sun  Staroffice Cals , โปรแกรมนำเสนองานอาทิ Microsoft Powrepoint, Sun  Staroffice Impress.
กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย (Graphic multimedia)
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดียเพื่อช่วยให้งานง่ายขึ้น เช่นใช้ตกแต่งวาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อ ภาพเคลื่อนไหวและการออกแบบเว็บไซด์ เช่น
-โปรแกรมออกแบบ อาทิ  Microsoft Visio Professional.
-โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ Coreidraw, Adobe Photoshop
-โปรแกรมตัดต่อวีดีโอและเสียง อาทิ Adobe Premirer, Pinnacle, Studio Dv.
-โปรแกรมการสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook ,  Instructor
การใช้งานแบบเว็บและการติดต่อสื่อสาร (Web and communications)
เมื่อเกิดการเติบโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซอฟแวร์กลุ่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะเพิ่มมากขึ้น เช่นโปรแกรมการตรวจเช็คอีเมล์ การท่องเว็บไซด์ การจัดการดูแลเว็บ ตัวอย่างโปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่ โปรแกรมจัดการอีเมล์ อาทิ Microsoft Outlook , Mozzila icdi,Thunderbird  โปรแกรมท่องเว็บ เช่น Microsoft Internet  Explorer, Mozzila  Firefox  โปรแกรมประชุมทางไกล (Video Conference) อาทิ  Microsoft Netmeeting โปรแกรมการส่งข้อความด่วน (MSN Messenger/Windows Messenger, ICQ โปรแกรมการสนทนาบนอินเตอร์เน็ต อาทิ  PIRCH, MIRC
ความจำเป็นของการใช้ซอฟแวร์
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจดจำไดยากจึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษานี้เรียกว่าความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์และวิทาศาสตร์บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางการจัดการข้อมูล
ซอฟแวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานมนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบการที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้และทำงานได้อย่างถูกต้องจำเป็นต้อมีสื่อกลางถ้าเปรียบกับชีวิตประจำวันแล้วเรามีภาษาที่ใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกันเช่นเดียวกันกับถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้และปฏิบัติตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุกต์ประกอบด้วย
-ภาษาเครื่อง (Machine languages) เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงาด้วยสัญญาณไฟฟ้าใช้แทนด้วยตัวเลข0และ1ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข0และ1นั้นมีรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
-ภาษาแอสเซมบลี (Assembler languages) เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุกต์ที่2 ถัดจากภาษาเครื่องภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็มีความใกล้เคียงภาษาเครื่องมากและจำเป็นต้องใช้ตัวแปรภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler) เพื่อแปรชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง
-ภาษาระดับสูง(High Level Languages) เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุกต์ที่3เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่าStatementsที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้นผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้นเนื่องจากภาษาระดับสูงใกล้เคียงภาษามนุษย์ด้วยตัวแปรระดับสูงเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่2ชนิดคือ คอมไพเลอร์(Compiler) และอินเทอร์พลีเตอร์ (Interpreter)
คอมไพเลอร์(Compiler) จะทำการแปรโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อนแล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษเครื่องนั้น
อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter) จะทำการแปรทีละคำสั่งแล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้นเมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปรคำสั่งลำดับต่อไปข้อแตกต่างระหว่าง คอมไพเลอร์กับ อินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่ที่การแปรโปรแกรมหรือแปรทีละคำสั่ง
หน่วยที่ 5 โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์

           หน่วยที่ 5 โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์    

ระบบ Network และ Internet  

โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
การทำงานของระบบ Network และ Internet
โครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. เครือข่ายเฉพาะที่ ( Local Area Network : LAN ) เป็นเครือข่ายที่มักพบในองค์กรโดนส่วนใหญ่ ลักษณะการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นวง LAN จะอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน เช่น อยู่ภายในอาคาร หรือ หน่วยงานเดียวกัน
2. เครือข่ายการเมือง ( Metropolitan Area Network : MAN ) เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อยมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้น ภายในบรเวณพื้นที่ใกล้เคียง เช่นในเมืองเดียวกันเป็นต้น
3. เครือข่ายบริเวณกว้าง ( Wide Area Network : WAN ) เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นไปอีกระดับโดยเป็นการรวมเครือข่ายทั้ง LAN และ MAN มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายเดียวกัน ดังนั้นเครือข่ายนี้ จึงครอบคลุมพื้นที่กว้าง โดยมีการครอบคลุมไปทั่วประเทศ หรือทั่วโลก เช่น อินเตอร์เน็ต ซึ่งถือเป็นเครื่อข่ายสาธารณะที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย Network Topology การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์ และการเดินสายสัญญาณคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้มูลในเครือข่ายด้วย โดย แบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ
1. แบบดาว ( Star Network ) เป็นการต่อสายเชื่อมโยงโดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อรวมกันเป็นหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดดต่อผ่สนทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกัยศูนย์กลาง
ลักษณะการทำงาน เป็นการเชื่อมโยงสื่อสารคล้ายดาวหลายแฉก โดยมีสถานีกลาง หรือฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อ กันทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด และยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารจัดเป็น 2 ทิศทางโดยจะอณุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม้มีโอกาศที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข่าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัณญาณข้อมูล เครือข่ายแบบบดาว เป็นรูปแบบเครือข่ายหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบั
2.  แบบวงแหวน ( Ring Network ) เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายสัญญารของตัวเองโดยจะมีการเชื่อมโยง ของสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครือข่านสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่มนการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง หรือจากเครือข่ายสัญญาณตัวก่อนหน้า และส่งข้อมูลต่อไปยังเครือข่ายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อยๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด
3.เครือข่ายแบบบัส ( Bus Network ) เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่ยๆๆ โดยจะมีอุปกรณืที่เป็นตัวเชื่อมต่ออุปกรณืเข้ากับสายเคเบิล ในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้ จะต้องกำหนดวิธี ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกันลา หรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่ สัญญาณที่แตกต่างกัน ในการติดตั้งเครือข่ายแบบบัสนี้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด ถ฿กเชื่อมต่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียว
อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียก ว่า บัศ BUS เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนดหนึ่ง ภายในเครือข่าย จะต้องตรวจสอบว่าบัสง่างหรืไม่ ข้อมูลจะวิ่งผ่านโหนดไปเรื่อยๆๆ ในขณะที่แต่ละโหนดก็จะตรวจสอบว่าเป็นว่าเป็นของตนเองหรืไม่หากไม่ใช่ก็จะปล่อยให้วิ่งไปเรื่อยๆๆ
4.เครือข่ายแบบต้นไม้ ( Tree Network ) เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่นๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม รับส่งข้อมูลเดียวกัน
การประยุกต์ใช้งานของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร และการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรระหว่างเครือข่าย รูปแบบการใช้งาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. ระบบเครือข่ายแบบศูนย์กลาง ( Centrallised Network )
2.ระบบเครือข่ายแบบ ( Pee-to Pee)
3. ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server
. ระบบเครือข่ายแบบศูนย์กลาง ( Centrallised Network ) เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลาง และมีการรรเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ ใช้การเดินสายเคเบิ้ล เชื่อมต่อกันโดยตรง เพื่อให้เครื่องเทอร์มินนอลสมารถสเข้าใช้งานโดยคำสั่งต่าง มาประมวลผลที่เครื่องกลาง ซึ่งมักเป็นเครืองคอมพิวเตอร์เมนเฟรมประสิทธิภาพสูง
ระบบเครือข่ายแบบ ( Pee-to Pee ) แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่ายสถานีเจะเท่าเทียมกัน สามรถที่จะแบ่งบันทรัพยากรให้แก้กันและกันได้ เช้นการใช้เครื่องพิมพ์ หรือ แฟ้มข้อมูลร้วมกันในเครือข่ายนั้นๆ เครื่องแต่ละเคื่องมีขีด และความสารถได้ด้วยตนเอง คือจะมีทรัพยากรภายในตัเอง เช่น ดิสก์สำหลับเก็บข้อมูล หน่วยความจำที่เพียงพอ 
 ระบบเครือข่ายแบบ ( Client/Server ) สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป็นจำนวนมาก และสามรถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายสถานี ทำง่นโดยมีเครื่อง Server ที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง และมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ จากส่วนกลาง ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ เครื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบ Client/Server ราคาไม่แพงมากนัก ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ สมถนะสูงในการควบคุมการให้บริการ ทรัพยากรต่างๆ นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามรถในการประมงลผล และมีพื้นที่สำหลับเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตัวเอง
           ระบบเครื่อข่ายแบบClient/Server เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น สนับสนุนการทำงานแบบ Multiprocessor สามารถเพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนเครื่องได้ตามต้องการ